ก้อนหินเนย ของพระกฤษณะแห่งอินเดียหิน

          ก้อนใหญ่ความสูงประมาณ 6 เมตรกว้าง 5 เมตรน้ำหนักราว 250 ตัน วางอย่างหมิ่นเหม่ท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่บนเนินเขาลาดชันในเมืองมหาบาลีปูดำประเทศอินเดีย  ก้อนหินเนย ของพระกฤษณะ   เป็นก้อนหินที่เต็มไปด้วยปริศนาพอๆกับที่มาของชื่อเห็นก็เลยของพระกฤษณะตั้งอยู่บนเนินเขาแห่งนี้มานับพั นปี

นักวิชาการจากหลากหลายสาขาพยายามจะหาคำตอบว่าหินก้อนมหึมานี้สามารถทรงตัวอยู่บนเนินเขาลาดชันนี้ได้อย่างไร

โดยไม่พึ่งลงมาแต่ก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบนี้ได้เพียงแต่ว่าหินก้อนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติเพราะด้านหลังของก้อนหินมีรอยตัดเฉือนแบบจงใจทำให้เกิดขึ้นที่มาของหินก้อนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครสร้างขึ้นและนำมันขึ้นมาอยู่บนเนินเขานี้เพื่ออะไรแต่ก็มีตำนานเล่ากันว่าพระเจ้าเป็นผู้นำหินก้อนนี้มาวางไว้เพื่อแสดงพลังอำนาจให้ประชาชนในเมืองได้เห็นชวน 

      ส่วนในเทวะตำนานฮินดู เล่าว่าพระกฤษณะโปรดเสวยแน่อย่างมากวันหนึ่งหน่วยของพระกฤษณะหยดลงมาบนพื้นโลกกลายเป็นหินก้อนนี้และเคยมีบันทึกว่ากษัตริย์แห่งอินเดียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 เคยพยายามเคลื่อนย้ายหินก้อนนี้เพราะเกรงว่าหากหินยักษ์ไถลลงมาจากเนินอาจกลิ้งลงมาทำลายเมืองและประชาชนของพระองค์จึงใช้ช้าง 700 เชือก

ลากหินก้อนนี้แต่มันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยปัจจุบันหินก้อนเนื้อของพระกฤษณะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของอินเดียนักท่องเที่ยวมักจะเยี่ยมชมและทดลองผลักหินก้อนนี้แต่ก็ยังไม่เคยมีใครที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้หินก้อนนี้เคลื่อนที่ได้เลยแม้แต่คนเดียว 

      อย่างไรก็ตามว่ากันว่าชาวอินเดีย เรียกหินก้อน evolve ด้วยหินก้อนนี้ว่ากันว่ามีอายุเก่าแก่  ufabet ทางเข้าเล่น   และถูกนำมาวางไว้ตรงบริเวณจุดนี้ตั้งแต่เมื่อ 1200 ปีมาแล้ว

  ทางด้านองค์กร UNESCO ได้มีการยกย่องให้บริเวณจุดนี้ที่มีการตั้งถิ่นฐานแห่งนี้นั้นกลายมาเป็นมรดกของโลกซึ่งแต่เดิมนั้นหินก้อนนี้ถูกเรียกว่าหินแห่งเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าแต่หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนชื่อให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือเป็นตาเท่านั้นเอง   

        อย่างไรก็ตามถ้าหากใครได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศอินเดียสามารถแวะไปเยี่ยมชมหินแกรนิตก้อนใหญ่แบบนี้ได้ที่รัฐทมิฬนาทุบซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียวเพราะหินก้อนนี้ที่มีขนาดใหญ่มากไม่สามารถที่จะเคลื่อนย้ายได้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลของการเป็นอยู่ของหินก้อนนี้ได้ว่ามายังไงและทำไมถึงไม่กลิ้งตามแรงดึงดูดของโลก